REUTERS/Ibraheem Al Omari
เป็นอีกครั้งที่เหล่าแฟนบอลชาวไทยต่างต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำว่าสุดท้ายแล้วจะได้ดูฟอร์ม และติดตามเชียร์ทีมชาติไทยในทัวร์นาเม้นต์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวเอเชียอย่างศึก “เอเชียน คัพ” ที่จัดขึ้น ณ ประเทศกาตาร์ ในช่วงระหว่างวันที่ 12 มกราคม – 10 กุมภาพันธ์นี้ หรือไม่ หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่า ไทย คือชาติที่ไม่ได้ถือครองลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ท่ามกลางความมึนงงว่า หากเราอยากให้กระแสฟุตบอลไทยบูม เหตุไฉนรายการที่มีศักดิ์ศรีเป็นรองแค่ฟุตบอลโลกอย่าง “เอเชียน คัพ” ที่มีทีมชาติไทยลงแข่งขันจึงถูกหมางเมินแบบไม่มีชิ้นดี
โดยเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) อย่าง ดร.ก้องศักด ยอดมณี ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อถึงโอกาสที่ กกท. โดยช่อง ทีสปอร์ต จะซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล เอเชียน คัพ ว่า กกท.เพิ่งได้รับหนังสือจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยในหนังสือระบุใจความสำคัญว่า มีโอกาสหรือไม่ที่ภาครัฐจะซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเอกชนรายใดสนใจ
ผู้ว่าการ กกท. กล่าวต่อว่า ในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่า ในส่วนดังกล่าว กกท. โดยช่องทีสปอร์ตไม่ได้เตรียมงบประมาณเอาไว้ตั้งแต่แรก จริงๆ อยากให้เอกชนร่วมมือกันซื้อสิทธิ์ถ่ายทอดสดกันมากกว่า เพราะจะดำเนินการได้รวดเร็วกว่า แน่นอนว่า นี่คือเหตุผลที่เราเข้าใจได้ว่า งบประมาณของภาครัฐไม่ควรถูกนำมาใช้เพียงเพื่อภารกิจใดภารกิจหนึ่ง เพราะอย่าลืมว่าพันธกิจที่ทาง กกท. ต้องใช้งบประมาณดูแลทุกๆ กีฬาทั้งประเทศนั้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการช่วยให้แฟนบอลไทยได้ดูฟุตบอล
หรือถ้าพูดง่ายๆ งบประมาณก่อนนี้มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ซื้อลิขสิทธิ์เอเชียน คัพ
คราวนี้เรามาตั้งคำถามกันต่อว่า แล้วใครคือคนที่ควรจะต้องออกมารับผิดชอบกับลิขสิทธิ์ “เอเชียน คัพ” ?
คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ ภาคเอกชน หากแต่เชื่อได้เลยว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ บวกกับการต้องตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยเม็ดเงินที่สูง ย่อมส่งผลกระทบโมเดลทางธุรกิจของหน่วยงานนั้น เพราะลำพัง การจะหาสปอนเซอร์เข้ารายการนั้นก็ทำได้ยากมากๆ พลังต่อรองของช่องที่น้อยลงเพราะฟุตบอลใกล้จะเตะแล้ว ไหนจะเรื่องจุดคุ้มทุนที่พูดตรงๆ ว่า ลบคำว่ากำไรทิ้งออกไปได้เลย คือปัจจัยที่พอนำมารวมกันแล้ว บวกลบคูณหารยังไงก็บอกได้เลยว่า “ไม่คุ้ม” (ในแง่เม็ดเงิน)
แต่ครั้นจะปล่อยให้ทีมชาติไทยลงแข่งขันรายการชิงแชมป์เอเชียโดยไม่มีการถ่ายทอดสดในประเทศ ก็น่าจะเป็นตราบาปที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะนั้นเท่ากับว่า ฟุตบอลไทยไม่มีมูลค่าอีกต่อไป แม้แต่จุดที่อยู่สูงสุดของปิรามิดอย่าง ทีมชาติไทย ซึ่งคงลามมาถึงฟุตบอลลีกในบ้านเราแน่ๆ
นั่นจึงเป็นที่มาของการเดินเกมแบบเร็วสายฟ้าฟาดดุจนินจา และก็เป็นทางฝั่งผู้ว่าการ กกท. ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ว่าใช้เวลารวบรัดตัดตอนจบภายในไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีแนวโน้มที่ค่อนข้างจะมืดมน ซึ่งสัญลักษณ์ที่ทำให้คอบอลไทยยิ้มได้ก็คือ การยืนยันอย่างเป็นทางการจาก เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ เอเอฟซี
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ได้เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้จะเห็นว่า การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) จะไม่เข้าไปแทรกแซงการเจรจาของภาคเอกชน เนื่องจาก ไม่ใช้หน้าที่ของ กกท. และเงื่อนไขของช่องทีสปอร์ตนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าจะไม่สามารถเข้าไปเสนอราคาแข่งกับภาคเอกชนได้ และอย่างที่ทราบกันดีว่าที่ผ่านมาก็มีความพยายามจากภาคเอกชน ที่พยายามเข้าไปเจรจาเพียงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
“หลังจากนั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีหนังสือร้องขอมายัง การกีฬาแห่งประเทศไทย ให้ช่วยเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเข้ามา ซึ่งก็เป้นไปตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้แฟนกีฬาชาวไทยได้ชม และเชียร์ทีมชาติไทย กกท. จึงไปจับมือกับภาคเอกชนในการเข้าไปเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล เอเชียน คัพ ของทีมชาติไทย
“ต้องให้เครดิตทางภาคเอกชนด้วยที่เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้ช่องในการถ่ายทอดสดจะเป็น พีพีทีวีเอชดี ช่อง 36 และ ทีสปอร์ตส์ 7 ถ่ายคู่กันเป็นหลัก ส่วนตัวเลขของงบประมาณนั้นยังบอกไม่ได้ เนื่องจากมีส่วนของเอกชนด้วย แต่ยืนยันว่าไม่ได้สูงอย่างที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน”
สิ่งเดียวที่เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดให้ภาคเอกชนหันกลับมาสนใจฟุตบอลไทยอย่างจริงจังอีกครั้ง ก็คงหนีไม่พ้นผลงานของทัพ “ช้างศึก” ในเอเชียน คัพ หนนี้ ซึ่งเชื่อได้เลยว่า หากเราทำได้ดี และพาตัวเองไปถึงรอบสอง หรือรอบ 8 ทีมสุดท้าย น่าจะทำให้ทุกคนกล้าที่จะลงทุนกับฟุตบอลไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการอื่นๆ ที่ทีมชาติไทยลงแข่งต่อจากนี้ล่วงหน้า และแฟนบอลบ้านเราก็ไม่ต้องมานั่งลุ้นจนถึงวินาทีสุดท้ายเช่นนี้อีก
การเดินทางไปยัง กาตาร์ ของขุนพล “ช้างศึก” ครั้งนี้ จึงเป็นการเดิมพันที่สูง และทุกๆ อย่างที่ความเกี่ยวพันกันอย่างไม่ต้องสงสัย…
สำหรับ การแข่งขันฟุตบอล เอเชียน คัพ 2023 นั้น ทีมชาติไทย อยู่ในกลุ่มเอฟ ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, คีร์กิซสถาน และ โอมาน โดยโปรแกรมการแข่งขัน ดังนี้
16 มกราคม 2567 ทีมชาติไทย พบ คีร์กิซสถาน เวลา 21.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ อับดุลลาห์ บิน คอลิฟา สเตเดียม
21 มกราคม 2567 โอมาน พบ ทีมชาติไทย เวลา 21.30 น.(ตามเวลาประเทศไทย) ณ อับดุลลาห์ บิน คอลิฟา สเตเดียม
25 มกราคม 2567 ซาอุดีอาระเบีย พบ ทีมชาติไทย เวลา 22.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม
📌 “ทีมชาติไทย” มีคุณค่าแค่ไหนในสายตาคุณ ?
📲Facebook: https://www.facebook.com/SabasportsThailand/
💻YouTube: https://www.youtube.com/@sabasportsthailand/videos
🕹Discord: https://dsc.gg/sabasports
📸Instagram: https://www.instagram.com/sabasports.th