ภาพประกอบ: REUTERS/Carl Recine
สมราคาแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน กับคุณภาพลูกหนังที่ได้ลุ้นกันตั้งแต่เสียงนกหวีดแรก ยันวินาทีสุดท้ายของเกม
แต่ลึกๆ หลังจบแมตช์นี้ ต้องพูดกันตรงๆ ว่า ลิเวอร์พูล ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ พร้อมกับโยนความกดดันในการลุ้นแชมป์ไปอยู่ที่ อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบเต็มๆ
อะไรทำให้เราคิดอย่างนั้น มาติดตามบทวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กันได้เลย
1. อาร์เซน่อล และแมนฯ ซิตี้ มีคิวตัดแต้มกันเอง
การกลับมาลงเล่นหลังจากพักเบรคช่วงฟีฟ่า เดย์ ของทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ต้องบอกเลยว่าร้อนระอุสุดๆ เพราะนั่นคือการเจอกันของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอาร์เซน่อล ซึ่งความหมายของเกมคู่นี้ก็คือ “การตัดแต้มกันเอง”
ผลเสมอคือผลลัพธ์ที่ทั้งสองทีมไม่ต้องการ แต่ถ้าทันทีที่มีผลแพ้ชนะเกิดขึ้น แล้ว ลิเวอร์พูล แค่โฟกัสกับการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ลิเวอร์พูล จะเหลือคู่แข่งแย่งแชมป์เพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น
2. โปรแกรม ลิเวอร์พูล เบากว่าใครในกลุ่มลุ้นแชมป์
ถ้าไม่นับเกมที่จะต้องบุกไปเยือนคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 7 เมษายนแล้ว ลิเวอร์พูล แทบจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับโปรแกรมที่ชวนปวดหัวเลย อาจจะมีแค่ แอสตัน วิลล่า หรือ สเปอร์ส เท่านั้นที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมหวังจะล้างตาให้ได้ แต่ถึงอย่างไร ภาพรวมโปรแกรมของทัพ “หงส์แดง” ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่า อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างไม่ต้องสงสัย
ทัพ “ปืนใหญ่” ต้องพบกับ แมนฯ ซิตี้, แอสตัน วิลล่า, สเปอร์ส และสองเกมสุดท้ายที่มี แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เอฟเวอร์ตัน รออยู่
ส่วน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และลูกทีม ก็ต้องพบกับ อาร์เซน่อล, แอสตัน วิลล่า, สเปอร์ส รวมถึงทีมในกลุ่มหนีตายที่ต้องการแต้มโดยไม่สนใจว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเก่ง หรือยิ่งใหญ่แค่ไหนทั้ง ลูตัน, คริสตัล พาเลซ และน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
3. ขนาดตัวหลักเจ็บบาน แต่ คล็อปป์ ยังรักษาโมเมนตั้มทีมไว้ได้
ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า สภาพทีมของ ลิเวอร์พูล นั้นไม่น่าจะเอาตัวรอดจากโปรแกรมต่างๆ ได้เลย แต่จนแล้วจนรอด “หงส์แดง” ก็ยังสามารถฝ่าสถานการณ์วิกฤตเหล่านั้นออกมาได้ พร้อมกับมีแต้มนำเป็นจ่าฝูงร่วมกับ อาร์เซน่อล สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ สามารถรักษาโมเมนตั้มของทีมเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ ลิเวอร์พูล อยู่ในเส้นทางของการลุ้นแชมป์จนถึงวินาทีนี้
4. เป๊ป และลูกทีม “เรือใบสีฟ้า” พลาดไม่ได้อีกแล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่ตามหลัง ความกดดัน และโปรแกรมที่หนักกว่า ย่อมเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะพลาดไม่ได้อีกแล้วแม้แต่นัดเดียว เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการหลุดออกจากวงโคจรของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเลย และถ้าวันนั้นเกิดขึ้นจริง บางทีพวกเขาก็อาจจะมานั่งทบทวนถึงความเสียดายจากผลเสมอที่ แอนฟิลด์ ก็เป็นได้
5. สเปอร์ส ตัวแปรแชมป์พรีเมียร์ลีก
ทัพ “ไก่เดือยทอง” ได้สถาปนาตัวเองมาเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการลุ้นแชมป์ของ ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ สเปอร์ส มีโปรแกรมพบกับสามทีมนี้ทั้งหมด โดย อาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะต้องพบกับลูกทีมของ “อังเก้” ในฐานะทีมเยือน ส่วน ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบจากการได้เล่นกับ สเปอร์ส ในถิ่นแอนฟิลด์ แค่นี้ก็พอจะบอกได้แล้วว่า หาก ลิเวอร์พูล โฟกัสการเล่นของตัวเองในทุกๆ เกมต่อจากนี้ ด้วยปัจจัยที่เราได้เอ่ยมา ทัพ “หงส์แดง” ก็ยังเป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้มากที่สุดอยู่ดี
แล้วคุณหล่ะ คิดว่าใครจะเข้าวิน และได้ชูโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก 2023/24 ?
📌 อาถรรพ์ไหม? อาร์เตต้า คว้ากุนซือยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก เดือน ก.พ.
📲Facebook: https://www.facebook.com/SabasportsThailand/
💻YouTube: https://www.youtube.com/@sabasportsthailand/videos
🕹Discord: https://dsc.gg/sabasports
🎼TikTok: https://www.tiktok.com/@sabasportsthailand